Sunday, April 15, 2007

เกร็ดธรรมจากหลวงตา



วันนี้ลากสังขารไปสวนแสงธรรมมา ทั้ง ๆ ที่มีอาการ Hypoxia อีกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
แต่มาได้สติว่า ยิ่งป่วย ยิ่งหายใจไม่ออก ก็เท่ากับว่ายิ่งใกล้ตายเข้าไปทุกที ดังนั้น จึงยิ่ง
ประมาทไม่ได้ คิดได้แล้วก็กระโดดผลุงบึ่งไปสวนแสงธรรมคนเดียว ด้วยใจสงบราบเรียบ
ไม่ได้บอกใคร ถึงแม้สังขารจะไม่ค่อยให้แล้วก็ตาม

แล้วก็ดีใจมากที่ชนะกิเลสสำเร็จ เพราะไปแล้วดีใจมากที่ได้ไป ที่จริงเนื้อหาที่หลวงตา
เทศน์วันนี้ (๑๔ เม.ย. ๒๕๕๐) ก็ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งพิสดารนัก แต่เพียงการได้ไปอยู่ใกล้
การได้เห็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แค่นี้ จิตก็สัมผัสได้แล้ว สามารถนั่งเจริญสติอยู่ตลอด
ที่ฟังเทศน์ได้ค่อนข้า่งต่อเนื่อง ไม่มีหลุด และได้เพิ่มความเพียรด้วยการพนมมือตั้งใจฟังตลอด
อีกด้วย อากาศตอนเย็นก็สบายมาก ไม่ร้อนเลย ออกจะร่มรื่นเย็นสบายมีลมพัดเื่อื่อย ๆ นิด ๆ
สมกับอยู่ในสวนที่มีน้ำอยู่รอบ ๆ

มีคนไปมากมายในศาลาก็จริง แต่เงียบกริบตอนที่ท่านเทศน์ ทำให้นึกถึงที่อาจารย์ศิริพรเคย
เล่าถึงพระเชตุวันที่อาจารย์เคยอ่านมาว่า มีคนเคยมองเข้าไปแล้วแปลกใจ และศรัีทธามาก เพราะมี
พระภิกษุสงฆ์จำนวนมากเป็นร้อยเป็นพันนั่งอยู่ แต่กลับเงียบสงบ มีอยู่เป็นร้อยคน ก็เหมือนไม่มีคนเลย
คนคนนั้นก็เข้าไปถามพระพุทธเจ้าว่า สงฆ์เหล่านั้น มีธรรมอันใดเป็นเครื่องอยู่ จึงสามารถอยู่กันได้โดย
สงบสำรวมน่าเลื่อมใสเป็นระเบียบเรียบร้อยขนาดนั้น พระพุทธเจ้า่ทรงตอบว่า สงฆ์เหล่านั้นมีสติเป็นเครื่องอยู่
เราฟังเรื่องนี้แล้วชอบมาก บรรยากาศในศาลาของหลวงตาวันนี้ ก็เป็นเช่นนั้น ส่วนหนึ่งเราคิดว่า เป็นเพราะ
คนต้องการตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงเทศน์ของหลวงตาด้วย

เรื่องที่เราพอจะจำได้อยู่สองเรื่องที่หลวงตาเทศน์วันนี้ ที่เราชอบเป็นพิเศษ คือ

  1. การที่หลวงตาอธิบายว่า อัฐิของพระอรหันต์เป็นพระธาตุเร็ว หรือ ช้า ต่างกันอย่างไร ฟังดูเป็นหลักวิทยาศาสตร์
ดีมาก ในความรู้สึกเรา นั่นก็คือ องค์ที่บรรลุไม่นานแล้วดับขันธุ์เลย ท่านเหล่านั้น อัฐิจะเป็นพระธาตุช้า ส่วนท่านที่บรรลุ
แล้วเป็นเวลานาน ก่อนจะดับธาตุขันธุ์ จะเป็นพระธาตุเร็ว สาเหตุนั้น ง่ายมาก นั่นก็คือ จิตที่บริสุทธิ์แล้ว เวลาท่านเข้าฌาณ
สมาบัติ จิตจะทำหน้าที่ฟอกธาตุขันธุ์ให้บริสุทธิ์สะอาดยิ่ง ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลา เราฟังแล้วเข้าใจทัีนที เพราะ
มัน makes sense มาก ไม่ต้องอะไรเลย แค่คนธรรมดา จากที่ไม่มีศีลเลย ไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ๗ วัน
เรายังสามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของความผ่องใสและขาวนวลบนใบหน้าได้ด้วยตาเปล่าเลย นั่นแค่อานุภาพของศีล
ล้วน ๆ ด้วยซ้ำ แล้วจะไปสงสัยอะไรกับระดับพระอรหันต์ ที่ท่านบริสุทธิ์หมดทั้งศีล สมาธิ และปัญญา

2. พระพุทธพจน์ที่หลวงตายกมา ที่ใจความคร่าว ๆ มีว่า "โลกกำลังร้อนเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ ท่านทั้งหลายยังจะมามัว
หัวเราะอะไรกันอยู่เล่า ยังไม่คิดหาที่พึ่งกันอีกหรือ" จริง ๆ แล้ว ท่านคงสอนเรื่องความไม่ประมาทนั่นเอง ซึ่งคำสอนนี้
ฟังกี่ที ๆ ก็ทันสมัยอยู่เสมอ เป็นพระพุทธพจน์ที่มีความลึกซึ้งมาก หลวงตายกบาลีมาแสดงก่อน แล้วจึงแปล เราเห็นจะต้องไปค้นหน่อยแล้ว
ถ้ามีเวลา ว่าต้นฉบับมีว่าอย่างไรบ้าง เพราะรู้สึกชอบใจมาก เผื่อได้ใช้ในวิทยานิพนธ์ ซึ่งพักหลักนี้หัวแล่นดีมาก หลังจากดองมาหลายปี ตอนนี้บังคับตัวเองให้อัีพเดททุกวันที่ Final Cut - - ตัด "ใจ"

วันนี้ได้ถวายปัจจัยหลวงตา และมีคนเอาซีดีธรรมะมาให้ตั้งสองม้วน และได้ไปต่อแถวรับบริจาคหนังสือธรรมะของหลวงตาด้วย ดีจัง
ไว้จะเอาไปแจกคนอื่นต่อไป

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

No comments: