Sunday, August 26, 2007

จม.ฉบับสุดท้ายจากท่านแม่ถึงอิ๊กคิวซัง

๕๔. พินัยกรรมและคำสั่งเสียฉบับสุดท้าย
(แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ 
ที่มา: http://www.ashidakim.com/zenkoans/54thelastwillandtestament.html)
อิ๊กคิว ผู้เป็นอาจารย์สอนเซนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในยุคอะชิคะกะของญี่ปุ่น(๑) นั้น ความจริงแล้วมีฐานะเป็นพระโอรสองค์หนึ่งขององค์สมเด็จพระจักรพรรดิ
ท่านแม่ของอิ๊กคิวได้ออกจากราชสำนักและได้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมแบบเซนในวัดแห่งหนึ่งตั้งแต่อิ๊กคิวยังอายุน้อย ดังนั้น อิ๊กคิวจึงได้มีโอกาสศึกษาเซนไปพร้อม ๆ กันด้วย เมื่อท่านแม่ของอิ๊กคิวกำลังจะจากอิ๊กคิวไปในวาระสุดท้ายนั้น ท่านได้ทิ้งจดหมายไว้ให้อิ๊กคิวฉบับหนึ่ง มีใจความว่า
 
ถึง อิ๊กคิว

     แม่ได้หมดหน้าที่ในภพชาตินี้แล้ว และกำลังจะกลับไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง แม่หวังว่าเจ้าจะเป็นผู้ที่หมั่นเพียรศึกษาและปฏิบัติธรรม เพื่อที่เจ้าจะสามารถเข้าถึงความเป็นพุทธะได้ ซึ่งถ้าเจ้าทำได้แล้ว เจ้าก็จะทราบเองว่า แม่ไปอยู่ที่ไหน ไปตกนรกอยู่หรือไม่ หรือว่าคอยอยู่เคียงข้างเจ้าอยู่เสมอ
 

     เมื่อใดก็ตามที่เจ้าได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์คนหนึ่งที่สามารถตระหนักรู้ได้ ว่า พระพุทธองค์ก็ดี และพระสาวก เช่น พระโพธิธรรม ก็ดี แท้ที่จริงแล้วคือผู้ที่คอยช่วยเหลือรับใช้เจ้า(๒) เจ้าก็สามารถเลิกศึกษาเล่าเรียนและเริ่มออกรับใช้มนุษยชาติได้ อนึ่ง พระพุทธองค์ทรงออกโปรดสัตว์โลกอยู่เป็นเวลาถึง ๔๙ พรรษา และตลอดเวลานั้นพระองค์ไม่ทรงเห็นความจำเป็นของการต้องเอ่ยปากพูดแม้แต่เพียงคำเดียว(๓) เจ้าควรจะทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด หากเจ้ายังไม่ทราบ แต่อยากจะทราบล่ะก็ จงหลีกเลี่ยงการขบคิดฟุ้งซ่านเสีย
 
                                                  แม่ของเจ้า,
                                                  ไม่เกิด, ไม่ตาย
                                                                   เดือนเก้า วันที่ ๑
 
ป.ล. คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีไว้เพื่อให้ความรู้แจ้งแก่ผู้อื่น(๔) ถ้าเจ้ายังต้องมัวคอยพึ่งวิธีการใดวิธีการหนึ่งในนั้นแล้วล่ะก็ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรไปกับแมลงอันไม่รู้เหนือรู้ใต้ตัวหนึ่งเท่านั้น พระไตรปิฎกนั้นมีจำนวนมากกว่า ๘๐,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ หากเจ้าอ่านหมดทุกพระธรรมขันธ์แล้วแต่ยังไม่สามารถอ่าน “ใจ” ของตัวเจ้าเองได้ล่ะก็ เจ้าก็จะไม่สามารถอ่านแม้กระทั่งจดหมายฉบับนี้ได้รู้เรื่องเช่นกัน นี่คือพินัยกรรมและคำสั่งเสียของแม่












แปลถวายท่านว.วชิรเมธี
เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของผู้เขียน
เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณคุณแม่
ที่ให้กำเนิด และเป็นครูคนแรก ทั้งทางโลก และทางธรรม
 

(๑) อยู่ในช่วงค.ศ. ๑๓๓๖-ค.ศ. ๑๕๗๓
(๒) กำลังรอตรวจเช็คจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น คาดว่าอาจจะแปลอีกอย่างได้ด้วย เป็น “แท้ที่จริงแล้วไม่ต่างอะไรไปจากคนรับใช้ของเจ้า” ในความหมายที่คล้าย ๆ กับว่า ไม่ยึดติด สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เหมือนที่พระพุทธองค์เคยตรัสว่าทรงเมตตาพระราหุล กับพระเทวทัต เท่า ๆ กัน
(๓) เป็นคติความเชื่อของเซนว่า การถ่ายทอดธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากพูดก็สามารถทำได้ และเซนมักอ้างถึงการที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมลักษณะนี้ครั้งแรกด้วยการทรงยกดอกไม้ขึ้นมาดอกหนึ่ง แล้วมีพระมหากัสสปะแสดงกิริยาว่าเข้าใจอยู่องค์เดียว ด้วยการยิ้มรับ
(๔) ในที่นี้ น่าจะหมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมตามแนวลัทธิเซน โดยเซนนั้นจะเน้นปฏิบัติเพียงอย่างเดียว คือ ให้มีสติตื่นรู้อยู่กับ "ปัจจุบันขณะ" ตลอดเวลา














Monday, May 21, 2007

การพบเห็นสมณะเป็นมงคลอันสูงสุด

  • ข้อนี้เรามักเตือนตนเองอยู่เสมออยู่แล้ว และมักเตือนคนอื่นเท่าที่เตือนได้และเขาสนใจจะฟังด้วย
  • มีตัวอย่างให้เห็นประจักษ์สด ๆ ร้อน ๆ ก็คือเมื่อวานนี้ได้ไปกราบท่านว.วชิรเมธี และได้ถือโอกาสเรียนถามสิ่งที่อยากถามมานานและไม่ได้มีโอกาสถามสักที เพราะว่าลืมไปบ้าง โอกาสไม่มี หรือ ไม่เหมาะบ้าง ก็คือ พระพุทธพจน์ที่ว่า "วันคืนล่วงไป ๆ เรากำลังทำอะไรอยู่" นั้น มาจากตรงไหน เพราะว่าจับใจเราเหลือเกิน มากที่สุดบทหนึ่งก็ว่าได้
  • เรียกได้ว่าถามถูกคน เพราะท่านก็ไปค้นมาให้ทันที แถมไฮไลท์ให้อีกด้วย วันนี้เลยถือโอกาสไปค้นเพิ่มเติมในส่วนอรรถกถา แล้วนำมาแปะตรงนี้ เป็นที่เตือนใจตนเอง และยามว่าง(ราวกับว่าจะมี) จะได้แวะมาอ่านบ่อย ๆ ให้ชื่นใจ และเตือนใจตนเอง
  • ที่มา: http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=48

--------------------------

อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ อักโกสวรรคที่ ๕
๘. อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร
อรรถกถาอภิณปัจจเวกขณธรรมสูตรที่ ๘ อภิณปัจจเวกขณธรรมสูตรที่ ๘

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า ปพฺพชิเตน ได้แก่ ผู้ละฆราวาส การครองเรือนเข้าถึงการบวชในพระศาสนา.

บทว่า อภิณฺหํ แปลว่า เนืองๆ บ่อยๆ.

บทว่า ปจฺจเวกฺขิตพฺพา แปลว่า พึงสำรวจดู พึงกำหนดคู.

บทว่า เววณฺณิยํ แปลว่า ความมีเพศต่าง ความมีรูปต่างๆ ก็ความมีเพศต่างนั้นมี ๒ อย่าง คือ ความมีเพศต่างโดยสรีระ ๑ ความมีเพศต่างโดยบริวาร ๑.

บรรดาความมีเพศต่าง ๒ อย่างนั้น ความมีเพศต่างโดยสรีระ พึงทราบได้ด้วยการปลงผมและหนวด. ก็ก่อนบวช แม้นุ่งผ้าก็ต้องใช้ผ้าดีเนื้อละเอียด ย้อมสีต่างๆ แม้บริโภคก็ต้องกินรสอร่อยต่างๆ ใส่ภาชนะทองและเงิน แม้นอนนั่งก็ต้องที่นอนที่นั่งอย่างดีในห้องสง่างาม แม้ประกอบยาก็ต้องใช้เนยใส เนยข้นเป็นต้น ตั้งแต่บวชแล้ว จำต้องนุ่งผ้าขาด ผ้าปะ ผ้าย้อมน้ำฝาด จำต้องฉันแต่ข้าวคลุกในบาตรเหล็กหรือบาตรดิน จำต้องนอนแต่บนเตียงลาดด้วยหญ้าเป็นต้น ในเสนาสนะมีโคนไม้เป็นอาทิ จำต้องนั่งบนท่อนหนังและเสื่อลำแพนเป็นต้น จำต้องประกอบยาด้วยน้ำมูตรเน่าเป็นต้น. พึงทราบความมีเพศต่างโดยบริขารในข้อนี้ ด้วยประการฉะนี้. ก็บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมละโกปะ ความขัดใจ และมานะ ความถือตัวเสียได้.

บทว่า ปรปฏิพทฺธา เม ชีวิกา ความว่า บรรพชิตพึงพิจารณาอย่างนี้ว่า ความเป็นอยู่ด้วยปัจจัย ๔ จำต้องเกี่ยวเนื่องในผู้อื่น อิริยาบถก็สมควร อาชีวะการเลี้ยงชีพก็บริสุทธิ์ ทั้งเป็นอันเคารพยำเกรงบิณฑบาต ชื่อว่าเป็นผู้บริโภคไม่พิจารณาในปัจจัย ๔ ก็หามิได้.

บทว่า อญฺโญ เม อากกฺโป กรณีโย ความว่า บรรพชิตพึงพิจารณาว่า อากัปกิริยาเดินอันใดของเหล่าคฤหัสถ์ คือย่างก้าวไม่กำหนด โดยอาการยืดอกคอตั้งอย่างสง่างาม เราพึงทำอากัปกิริยาต่างไปจากอากัปกิริยาของคฤหัสถ์นั้น เราพึงมีอินทรีย์สงบมีใจสงบ มองชั่วแอก ย่างก้าวกำหนดแต่น้อย [ไม่ย่างก้าวยาว] พึงเดินไปเหมือนนำเกวียนบรรทุกน้ำไปในที่ขรุขระ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมมีอากัปกิริยาสมควร สิกขา ๓ ย่อมบริบูรณ์.

ศัพท์ว่า กจฺจิ นุ โข รวมนิบาตลงในความกำหนด.

บทว่า อตฺตา ได้แก่ จิต.

บทว่า สีลโต น อุปวทติ ได้แก่ ไม่ตำหนิตนเองเพราะศีลเป็นปัจจัยอย่างนี้ว่าศีลของเราไม่บริบูรณ์. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมตั้งหิริความละอายขึ้นภายใน. หิรินั้นก็ให้สำเร็จความสำรวมในทวารทั้ง ๓. ความสำรวมในทวารทั้ง ๓ ย่อมเป็นจตุปาริสุทธิศีล บรรพชิตผู้ตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีล เจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อมยึดพระอรหัตไว้ได้.

บทว่า อนุวิจฺจ วิญฺญู สพฺรหฺมจารี ความว่า เหล่าสพรหมจารีผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกับผู้เป็นบัณฑิต พิจารณาใคร่ครวญแล้ว. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวบาปภายนอก ย่อมตั้งขึ้น. โอตตัปปะนั้นย่อมให้สำเร็จความสำรวมในทวารทั้ง ๓. ดังนั้น จึงควรทราบโดยนัยในลำดับถัดมานั้นแล.

บทว่า นานาภาโว วินาภาโว ความว่า ความเป็นต่างๆ เพราะเกิดมา ความพลัดพราก เพราะมรณะ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าไม่มีอาการคือประมาทในทวารทั้ง ๓. มรณัสสติ ความระลึกถึงความตาย ก็เป็นอันตั้งลงด้วยดี.

ในบทว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังนี้. กรรมเป็นของเรา คือเป็นสมบัติของตน เหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีกรรมเป็นของของเรา. ผลที่กรรมพึงให้ ชื่อว่าผลทายะ ผลแห่งกรรม ชื่อว่ากรรมทายะ ผลแห่งกรรม เราย่อมรับผลแห่งกรรมนั้น เหตุนั้น เราจึงเป็นผู้รับผลแห่งกรรม. กรรมเป็นกำเนิด คือเหตุของเรา เหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด. กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นญาติของเรา เหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์. กรรมเป็นที่พึ่งอาศัยของเรา เหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย.

บทว่า ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามิ ได้แก่ เราจักเป็นทายาท คือเป็นผู้รับผลที่กรรมนั้นให้แล้ว. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาถึงความที่เรามีกรรมเป็นของของตนอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่ชื่อว่ากระทำบาป.

บทว่า กถมฺภูตสฺส เม รตฺตินฺทิวา วีติปตนฺติ ความว่า คืนวันล่วงไป เปลี่ยนแปลงไป เราเป็นอย่างไร คือเรากำลังทำวัตรปฏิบัติอยู่หรือๆ ว่าไม่ทำ ท่องบ่นพระพุทธวจนะอยู่หรือๆ ว่าไม่ท่องบ่น กำลังทำกิจกรรมในโยนิโสมนสการอยู่หรือๆ ว่าไม่ทำ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ความไม่ประมาทย่อมบริบูรณ์.

บทว่า สุญฺญาคาเร อภิรมามิ ความว่า เราแต่ผู้เดียวอยู่ในทุกอิริยาบถ ในโอกาสอันสงัด ยังยินดียิ่งอยู่หรือหนอ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ กายวิเวกย่อมบริบูรณ์.

บทว่า อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา ความว่า ธรรมทั้งหลายมีฌานเป็นต้นของท่านผู้ได้ฌาน และพระอริยะผู้เป็นมนุษย์ที่ยิ่ง เป็นมนุษย์ชั้นอุกฤษฏ์หรือธรรมทั้งหลายที่ยิ่งยวดที่ประเสริฐกว่ามนุษยธรรมกล่าวคือกุศลกรรมบถ ๑๐ มีอยู่ คือเป็นอยู่ในสันดานของเราหรือ.

บทว่า อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส ความว่า ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่าให้เกิดมหัคตปัญญาและโลกุตรปัญญา. ชื่อว่าทัสสนะ เพราะอรรถว่าเห็นธรรมโดยทำให้ประจักษ์เหมือนดังเห็นด้วยจักษุ เหตุนั้น จึงชื่อว่าญาณทัสสนะ. ญาณทัสสนะอันเป็นอริยะ คือบริสุทธิ์สูงสุด เหตุนั้น จึงชื่อว่าอริยญาณทัสสนะ. อริยญาณทัสสนะอันอาจคือเป็นอริยะสามารถกำจัดกิเลส มีอยู่ในธรรมนั้น หรือแก่ธรรมนั้น เหตุนั้น ธรรมนั้นจึงชื่อว่าอลมริยญาณทัสสนะ ได้แก่ธรรมของมนุษย์ผู้ยิ่ง ต่างโดยฌานเป็นต้น. อลมริยญาณทัสสนะนั้นด้วย วิเศษด้วย เหตุนั้น จึงชื่อว่าอลมริยญาณทัสสนวิเสส. อีกนัยหนึ่ง คุณวิเศษ คือญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์ สามารถกำจัดกิเลสได้นั้นนั่นเอง เหตุนั้น จึงชื่อว่าอลมริยญาณทัสสนวิเสส ก็ได้.

บทว่า อธิคโต ได้แก่ ความวิเศษที่เราได้ไว้แล้วมีอยู่หรือหนอ.

บทว่า โสหํ ได้แก่ เรานั้นมีคุณวิเศษอันได้ไว้แล้ว.

บทว่า ปจฺฉิเม กาเล ได้แก่ ในเวลานอนบนเตียงสำหรับตาย.

บทว่า ปุฎฺโฐ ได้แก่ ถูกเพื่อนสพรหมจารีถามถึงคุณวิเศษที่บรรลุ.

บทว่า น มงฺกุ ภวิสฺสามิ ได้แก่ เราจักไม่เป็นผู้คอตก หมดอำนาจ.

ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอย่างนี้ ย่อมไม่ชื่อว่าตายเปล่า.
จบอรรถกถาอภิณปัจจเวกขณธรรมสูตรที่ ๘

Sunday, May 20, 2007

New Inspiration


The World in Gold
Originally uploaded by luckybird_darkhorse.

วันนี้ไปกราบท่านว.วชิรเมธีมา ได้ไปถวายจตุปัจจัยและเครื่องไทยทานต่าง ๆ พอสมควร และโอสถด้วย เพราะท่านอาพาธ ไอค้อกแค้ก ขอให้ทุก ๆ ท่านที่เข้ามาอ่านได้บุญไปโดยทั่วกัน

ได้กำลังใจ ได้โปรเจ็คท์ใหม่มาทำ (ราวกับว่าว่างมาก) แต่ดีแล้ว เพราะต้องให้รู้สึกว่าทำอะไรไม่ทัน มีไฟลนก้น แล้วจะทำงานได้ ดูเหมือนจะเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง


เลยรู้สึกอยากแปะรูปเห็นแสงสีทองผ่องอำไพ ชีวิตค่อยดูมีความหวังรำไร ๆ ดังนี้

ขอขอบคุณเจ้าของภาพ จาก flickr

Thursday, May 17, 2007

003 โดยปรมัตถ์ ธาตุ ๔ ก็ไม่ควรยืดถือ

Source: http://www.84000.org/true/003.html


ปัญหา: การที่พระพุทธองค์ตรัสถึงเรื่องธาตุ ๔ นั้น พระองค์ทรงเชื่อว่ามีธาตุ ๔ จริง ๆ หรือเพราะทรงเรียกตามโวหารโลกที่คนเข้าใจกันอยู่ในสมัยนั้น ? มีพระพุทธพจน์ตอนไหนบ้างที่แสดง ธาตุ ๔ เป็นแต่สิ่งสมมติ ?

พุทธดำรัสตอบ:
“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนในโลกนี้ ไม่ได้สดับ ไม่ได้พบพระอริยะ
ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมรู้ธาตุดิน .... ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ย่อมรู้ธาตุไฟ ...
ย่อมรู้ธาตุลม...โดยความเป็นธาตุลม

ครั้นรู้ธาตุลมโดยความเป็นธาตุลมแล้ว
ย่อมสำคัญหมายธาตุลม
ย่อมสำคัญหมายโดยความเป็นธาตุลม
ย่อมสำคัญหมายธาตุลมว่าเป็นของเรา
ย่อมยินดีธาตุลม

ข้อนั้นเพราะอะไร

เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ...
ภิกษุใดเป็นอรหันต์ขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์เสร็จกิจแล้ว
ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว
สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว
หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว
แม้ภิกษุนั้นย่อมรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน....
ย่อมรู้ธาตุน้ำโดยความเป็นธาตุน้ำ ...
ย่อมรู้ธาตุไฟโดยความเป็นธาตุไฟ...
ย่อมรู้ธาตุลมโดยความเป็นธาตุลม....

ครั้นรู้ธาตุลมโดยความเป็นธาตุลมแล้ว
ย่อมสำคัญหมายธาตุลม
ย่อมไม่สำคัญหมายโดยความเป็นธาตุลม
ย่อมไม่สำคัญหมายธาตุลมว่าเป็นของเรา
ย่อมไม่ยินดีในธาตุลม

ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะเธอกำหนดรู้แล้วฯ”

มูลปริยายสูตร มู. ม. (๒)
ตบ. ๑๒ : ๑-๒ ตท. ๑๒ : ๑-๒
ตอ. MLS. I : ๓-๔


---------------------

ในส่วนนี้ ในฐานะคนที่พอจะปฏิบัติธรรมมาบ้าง คิดว่าพอจะเข้าใจนิดหน่อย ถึงแม้จะเป็นแค่ในขั้นกึ่งคิด กึ่งนึก แต่ก็พอนึกแล้ว ก็ให้อัศจรรย์ใจในคำตอบของพระพุทธเจ้ามาก เพราะการที่จะเข้าไป "กำหนดรู้" ได้นั้นไม่ง่ายเลย แต่ถ้าพอทำได้บ้างแล้วนั้น ก็จะเป็นประมาณอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ อย่างน้อยก็สองข้อหลัง คือ ย่อมไม่สำคัญหมายธาตุลมว่าเป็นของเรา และ ย่อมไม่ยินดีในธาตุลม นั้น การเจริญสติวิปัสสนาในคอร์ส ๗ วันนั้น ทำให้เข้าใจตรงนั้ชัดมาก

อนึ่ง ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้น รวมเรียกว่า มหาภูติรูป ถ้าจะฝึกวิปัสสนา จะเห็นชัดอยู่ในฐานธรรมานุปัสสนา แต่เวลาทำจริง ๆ นั้นไม่จำเป็นต้องไปต้องว่าตอนนี้กำหนด "ฐานไหน" เพียงแต่ให้รู้ว่าตอนนี้มีอะไรมากระทบกายและใจ อย่างไร ให้เท่าทันปัจจุบัน และไม่ต้่องมีอะไรมาปรุงแต่ง และกำหนดแล้วก็ปล่อยทิ้ง ไม่หน่วงเหนี่ยวเคล้ัาคลึงอารมณ์ให้มันหลุดปัจจุบันก็พอแล้ว


Tuesday, May 15, 2007

Inspiring Moments


Acompañado de su sombra...
Originally uploaded by Cloe007.
I'm a visually-stimulated person, meaning when I see something inspiring, my thoughts flow.

Sometimes it's good, if your job needs something creative.

Sometimes it can come in handy, if you need to be reflective, or even contemplative.

This photo, for example, makes me feel very curious, I have this uncontrollable urge to go stand where that man is and look beyond and below.

I want to "see."

Even if I'm not there yet, I start to visualize already what I may see there.

See, this is the problem of someone whose mind is accustomed to working all the time.

Because in terms of mindfulness meditation, one should try to live as much as possible in the present, and just "observe" without judgement, without guessing what might happen, etc.

If one continues to observe accurately, one would get Enlighten.

And I believe if one does, the light at the end of the tunnel would become even more appealing that the one seen in this pix.

But then, as you can see, I'm already falling into the trap of "guessing" into the "future" again!

Now you see how difficult it is to stay constantly mindful in the present.

Try.

Monday, May 14, 2007

The Debate of King Milinda


Milinda Book
Originally uploaded by nashara.
  • Highly recommended for scholars and practitioners alike. :-)



  • May you find the wisdom you always search for.

  • And to that old French lady I met at Tuileries Metro Station, one day in 2000, Merci. Thank you for parting with me that piece of wisdom.

  • "Si on cherche, on se trouve."

  • I would never forget your subtle, knowing smile. And your confident footsteps at the Metro platform.

  • Au Revoir, Madamme. Je pense, en fin, que je "le" trouve.

Wednesday, May 02, 2007

Kids Learning Mindfulness, Peace in School Program





  • I saw the following news and I wonder when Thailand, a proclaimed Buddhist country, would be able to have news like this, too?

  • Meanwhile, my heartfelt appreciation and commendation for everybody that got this program going in the states for the kids! May you all be happy, peaceful, and free from suffering!

--------------------------------------------------------------------------------

Source: http://abclocal.go.com/kgo/story?section=drive_to_discover&id=5187016

Written and produced by Jennifer Olney


- A new pilot program at an Oakland elementary school is showing some dramatic results. Children are being trained in a technique called "mindfulness." It's part of the drive to discover how to help students do better in class and in life.

Richard Shankman is teaching these elementary school students how to find calm in a stressful world.

Richard Shankman: "Just take a minute to notice how you are feeling."

This is "mindfulness" - learning to pay attention to the moment, not judging or thinking, just focusing on being present.

Tashayia: "It makes me feel better than I used to."

Ayo, eight-years-old: "It makes me feel happy no matter how bad my day is."

Children are taught to use breathing to help them stay calm in stressful situations.

Laura, 10-years-old: "You have to take at least three breaths."

Both kids and teachers told us it really works.

Mary Taylor, 3rd grade teacher: "The children have been much calmer, much quieter and they seem to just be able to settle down."

Quincie, 10-years-old: "When we are taking a test and we are nervous we just breathe and we calm ourselves down and that lets us, that sends a message to our mind that we can make it."

The "mindfulness" training is a pilot program at Emerson Elementary in Oakland. Mr. Richard, as the children call him, visits each classroom for 15 minutes, twice a week.

Mr. Richard is a Buddhist meditation teacher and he uses some of the same techniques here.

The students practice listening to bells, trying to hear the exact moment when the sound stops.

Candace, eight-years-old: "What's important about the bells is I think is the sounds of them and the motions that you can hear and the vibrations."

Emerson is an inner-city public school where more than 75 percent of the students are identified as socio-economically disadvantaged.

Several teachers told us mindfulness training has arrived at the right place at the right time.

Ed Allen, 4th/5th grade teacher: "Kids need some mechanism to center themselves. The world is so imbalanced in all kinds of ways."

The mindfulness program is actually being paid for by a nearby private school called Park Day School. The technique worked so well at Park, they wanted to share it with the students at Emerson.

Laurie Grossman, Park Day School: "It's beyond my wildest dream to see kids really embracing it and feeling calm and feeling peace."

The hope is to help kids manage better with everything, from the stress of classroom, work, to tension on the playground.

Richard Shankman, mindfulness teacher: "We want them to learn to just start to be more aware of what's happening. 'Oh I'm angry,' and then start to have a little more choice on how they act or react."

Adrian, 11-years-old: "Like when you are mad you can just concentrate so you won't get in a fight."

The mindfulness training at Emerson has been going for about a month. No one claims it's a cure-all for every problem, but many teachers are so enthusiastic about the results, they now want training on how to lead mindfulness themselves.

Teacher: "There's a great peace that has fallen on this class."

If you want to learn more about Mindfulness training in Oakland schools, you can call Laurie Grossman at Park Day School at 510 653-0317, x105 or e-mail her at Laurie@parkdayschool.org .

--------------------------------------------------------

Saturday, April 28, 2007

ฟังเจ้าคุณอาจารย์สอนกรรมฐาน และร่วมทำบุญกับคณะ ๕ วัดมหาธาตุ

จากเวบธรรมะไทย

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙) - เสียงธรรม : เว็บไซต์ธรรมะไทย

www.dhammathai.org/sounds/chodok.php

พระมหารำไพ (เลขานุการ คณะ 5) [กรุงเทพ ฯ] [20 เม.ย. 2550 เวลา 19:05 น.]

ตอนนี้ คณะศิษย์ยานุศิษย์ ในหลวงพ่อ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) กำหนดจะจัดงานบำเพ็ญกุศลประจำปี 2550 ปีนี้เป็นปีที่ 19 กำหนดงาน วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฏาคม 2550 มีกิจกรรมภาคเช้า จนถึง ภาคบ่าย ดังนี้ ภาคเช้า ตั้งแต่ 09.00 น. มอบทุนการศึกษา แก่พระเณรที่สังกัดวัดมหาธาตุคณะ 5 ที่สอบบาลีนักธรรมได้ 09.30 น. พระสงฆ์ 20 รูป รับทักษิณานุประทาน 10.00 น. พระสงฆ์ 15 รูป เจริญพระพุทธมนต์ 11.00 น.ถวายภัตตาหารเพล แก่พระภิกษุ-สามเณร จำนวน 200 รูป 13.00 น.มีพระธรรมเทศนา 1 กัณฑ์ รายละเอียดติดต่อได้ที่ พระครูวิมลธรรมรังสี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ฯ เจ้าคณะ 5 กองการวิปัสนาธุระ วัดมหาธาตุ ฯ กรุงเทพ โทร 02-2224981 หรือ 02-2226011

---------------------------------------

พระอาจารย์เจ้าคณะ 5 [section-5] [20 เม.ย. 2550 เวลา 18:55 น.]

ตอนนี้ mp 3 เสียงธรรม ของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) มีถึงชุดที่ 7 แล้ว และสั่งซื้อ ได้ที่ พระครูวิมลธรรมรังสี วัดมหาธาตุ ฯ คณะ 5 แขวงพระบรมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพ ฯ 10200 โทร 02-2224981 ไปรษณีย์ สั่งจ่าย พระครูวิมลธรรมรังสี ปณ.หน้า พระลาน 10200 ชมเว็บไซต์ของคณะ 5 ได้ที่ www.section-5.org

Friday, April 27, 2007

Goodbye, Grandma





Goodbye, Grandma


My grandmother passed away yesterday night (April 25, 2007). She was 87.

We had a long day of funeral ceremony today. I am a bit exhausted.

Khun Ya Jee+, Grandma's elder sister, made a remark today after seeing one of what could be the biggest family gathering in years that without a function such as this one, it would be unlikely that we all could be together at the same time.

Looking around, I couldn't agree with her more.

In the past few weeks, I have been visiting grandma often, trying to make
up for the years that I didn't have much chance to see her.

grandma1

Although she was confined to the hospital bed, she was still in hight spirit.
My grandma has always been a woman of enormous energy. Throughout
her life time, it has been known that she would wake up at 4 every morning,
leaving home at 6 to work at her Foundation for the Orphanage.

With all her life dedicated to helping the underprivileged, today my grandma
has received her last group of guests from all walks of life who came to pay
their last respect the woman they knew so well.

I am proud of my grandma. I wish I had more time to learn more about her,
her work, her dreams, etc.

One thing I am confident, though, is her emphasis on being a wholesome person, dedicating yourself for a good cause, for what you believe in, for the society, for your country - - with gratefulness for your motherland, for your spiritual conviction, and, specifically to Thailand, for our beloved current Monarch and also in grateful remembrance to our past monarchs of the Kingdom that have kept Siam independent until this very day.

On my 14th birthday, my grandmother gave me a huge library-sized, hard-cover Oxford English Dictionary. On the cover, she kindly wrote, in Thai, "May you continue to keep your virtues like salt keeps its signature flavor."

That was such a remarkable blessing and food for thought that makes such a lasting impression on a 14-year-old. Every time I taste the saltiness of salt, it reminds me of what my grandmother's wise words. It makes me stop to investigate myself if I still live up to all the virtues that I should, or else I would not be worth my salt, so to speak.

But at last within the last year I was happy that I could make her proud of me. At least a little bit. I have won a national Japanese speech award and brought the trophy to show her. The topic of my award-winning speech? Her father and grandfather! Her father was the first Thai student to Japan while her grandfather was the second Thai Ambassador to Japan during the reign of King Rama the V.

She beamed when she saw the trophy and told me my great-grandpa would
have been proud because he, too, was known for his public-speaking skills!
I told her I don't think I'm anywhere as good as him (or her, for that matter!), but I think the Japanese judge like my story, that's all!

Also when she was in hospital this final time, I brought her the manuscript
of the book I plan to write. Yes, it is the continuing project from that fateful speech. She kindly gave me her blessings and encouraged me on the project. I was so happy to see her become lively and chatty and told me stories about her father and grandfather so that I could include them in the book.

The most heart-wrenching part came when dad told me the day before yesterday, when my sister and I went to visit her in ICU, that the last words she said to him before she slipped into coma and never spoke again was that I am a good girl, and that I'm going to write a book for our family. A "Katanyuu" girl. Something like that.

So, that was the last impression that my dad had of of his own mother. Imagine how he would feel now. My dad is a very sensitive type of person. Her passing away is very hard for him. I just hope he would cope well and pass through this stage with as little pain as he possible can manage.

Dad also told me, in his slow, deliberating manner, full of emotion, when my
grandma was still in coma, that he wanted me to do the best I can on the book project. Then he swallowed hard. He didn't finish his sentence. But I knew what he meant. I knew he was going to say that he wanted me to do the best I can for my grandma. I reassured him that I would. To the best of my ability, I told him firmly.

And I did mean that. Even if he didn't ask me. Even if grandma didn't give me the kind blessings when I went to visit her in the hospital and also wished me a prosperous and successful life in general. I didn't tell him about this. I would do it to the best of my ability anyway. The more I did my research, the more I do my mindfulness meditation, the more I live and learn more about life, the more I can see life's overall purpose.

And I must say that my grandma has lived an extraordinary life. She has shown me an example of what one should do--to live a purpose-driven life. Only now that I get it. This is how she got her legendary energy. She was fueled by a life full of purpose. A life dedicated to serve, to help other people, to think of one's needs last.

grandma3


In the cold and unwelcoming ICU room, I held her warm hand gently on the last visit, whispering what would be my last words to her softly, "Grandma, I'm going to do the best for you."


Then, to my surprise, I felt her hand suddenly squeezed my hand and even lifted it up a bit. I jumped up from my stooping position and must have yelled out a little with some kind of pleasant surprise because my grandma has been totally still with no kind of response whatsoever for 3 days already since the last shock put her into coma.


grandma2


Dad also saw the reflection and he was happy and he also massaging her feet which also didn't have any response for many days. It also gave reflexive response. My grandma made some more response that afternoon. I looked at her and wondered if she heard what I told her when she squeezed my hand back. At that time, as I held her hand and squeezed back softly, I held back my tears as I whispered to her, "I want to believe in miracles, Grandma. Please, come back to me. Please."

Thinking back, at that time, there was nothing else I wanted more in this world than to be able to hear her talking to me one more time, to be able to have any exchange with her, any exchange at all. Lord Buddha was so right, there is nothing more heart-wrenching than losing your beloved ones, especially your family members. And when that moment comes, you want to give anything you have, anything, just to have that person back again. But it is a losing battle and we have to face The Ultimate Truth of Life bravely and wisely.

I learned later that for people who has prolonged, critical illness might have some kind of last surge of fight for survival. I think that day was the day that my grandma made her last boost for survival. After that, I think we never saw her make a recovery again.

So, that was the story of my grandma, a great woman, an inspiration to
the whole clan. And perhaps to many people whose lives she has touched
also. She will always be remembered. And greatly missed. I have made a
promise to her which I would duly keep. I will make a progress on the book
everyday.

Rest in peace, grandma. The torch of virtues you lit would always remain
brightly shone. For some reason, I don't feel that you are gone. For there
will always a part of you that will always be with me. Modern scientific
world may call it the DNA that I inherit. Personally, I prefer to call it lovingly as your spirituality. Through this, we will always be connected.

I remember when I was much younger you used to say that you did all
this so that the future generation could follow path. I was way too young
to understand then. Now I think I do and I deeply appreciate what you did, grandma. You were right. I am following your path. And I will make you proud of me.

I love you, grandma. Thank you for being kind to me, and teaching me
so many of life's valuable lessons.

Respectfully,

Your Second Grandchild, Baby Bear (Grandpa's Little Sumo)

grandma4

****************************************************************

H.M. the King's Visiting Basket

On April 24, H.M. the King, through the Royal Bureau, graciously gave a basket of amenities to my grandmother at the hospital to wish her a recovery. On the same day, H.M. the Queen graciously gave my grandmother a flower arrangement in a vase.

H.M. the King's Wreath to My GrandMother

On April 26, H.M. the King also graciously gave the Royal Wreath & Royal Soil
to be used in the funeral ceremony and the burial ceremony of my grandmother respectively.

Her Majesty the Queen's and HH's Princess Maha Chakri's

Her Majesty the Queen's and Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn's Wreaths.

Our family is deeply grateful for this highest honor.




Thursday, April 19, 2007

Church group goes Buddhist

I think this is amazing! A Christian theology professor led his class in mindfulness meditation, even reading a quote from a Buddhist's script! I like the way he pointed out that mindfulness meditation could give you a chance to be aware of your connection with "God."

When we human beings could go past the limit of languages and let our body and mind experience the truth of nature, then, we'll learn how to liberate ourself from sufferings that come from hatreds that itself came from misunderstanding, I think.

This article shows you how this Christian theology professor has achieved that. He also made references to learning we got back from the Silk Road days. A must read. I even made a comment there myself. To thank him and congratulate him, basically.

Seacoastonline.com: Church group goes Buddhist

Sunday, April 15, 2007

เกร็ดธรรมจากหลวงตา



วันนี้ลากสังขารไปสวนแสงธรรมมา ทั้ง ๆ ที่มีอาการ Hypoxia อีกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
แต่มาได้สติว่า ยิ่งป่วย ยิ่งหายใจไม่ออก ก็เท่ากับว่ายิ่งใกล้ตายเข้าไปทุกที ดังนั้น จึงยิ่ง
ประมาทไม่ได้ คิดได้แล้วก็กระโดดผลุงบึ่งไปสวนแสงธรรมคนเดียว ด้วยใจสงบราบเรียบ
ไม่ได้บอกใคร ถึงแม้สังขารจะไม่ค่อยให้แล้วก็ตาม

แล้วก็ดีใจมากที่ชนะกิเลสสำเร็จ เพราะไปแล้วดีใจมากที่ได้ไป ที่จริงเนื้อหาที่หลวงตา
เทศน์วันนี้ (๑๔ เม.ย. ๒๕๕๐) ก็ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งพิสดารนัก แต่เพียงการได้ไปอยู่ใกล้
การได้เห็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แค่นี้ จิตก็สัมผัสได้แล้ว สามารถนั่งเจริญสติอยู่ตลอด
ที่ฟังเทศน์ได้ค่อนข้า่งต่อเนื่อง ไม่มีหลุด และได้เพิ่มความเพียรด้วยการพนมมือตั้งใจฟังตลอด
อีกด้วย อากาศตอนเย็นก็สบายมาก ไม่ร้อนเลย ออกจะร่มรื่นเย็นสบายมีลมพัดเื่อื่อย ๆ นิด ๆ
สมกับอยู่ในสวนที่มีน้ำอยู่รอบ ๆ

มีคนไปมากมายในศาลาก็จริง แต่เงียบกริบตอนที่ท่านเทศน์ ทำให้นึกถึงที่อาจารย์ศิริพรเคย
เล่าถึงพระเชตุวันที่อาจารย์เคยอ่านมาว่า มีคนเคยมองเข้าไปแล้วแปลกใจ และศรัีทธามาก เพราะมี
พระภิกษุสงฆ์จำนวนมากเป็นร้อยเป็นพันนั่งอยู่ แต่กลับเงียบสงบ มีอยู่เป็นร้อยคน ก็เหมือนไม่มีคนเลย
คนคนนั้นก็เข้าไปถามพระพุทธเจ้าว่า สงฆ์เหล่านั้น มีธรรมอันใดเป็นเครื่องอยู่ จึงสามารถอยู่กันได้โดย
สงบสำรวมน่าเลื่อมใสเป็นระเบียบเรียบร้อยขนาดนั้น พระพุทธเจ้า่ทรงตอบว่า สงฆ์เหล่านั้นมีสติเป็นเครื่องอยู่
เราฟังเรื่องนี้แล้วชอบมาก บรรยากาศในศาลาของหลวงตาวันนี้ ก็เป็นเช่นนั้น ส่วนหนึ่งเราคิดว่า เป็นเพราะ
คนต้องการตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงเทศน์ของหลวงตาด้วย

เรื่องที่เราพอจะจำได้อยู่สองเรื่องที่หลวงตาเทศน์วันนี้ ที่เราชอบเป็นพิเศษ คือ

  1. การที่หลวงตาอธิบายว่า อัฐิของพระอรหันต์เป็นพระธาตุเร็ว หรือ ช้า ต่างกันอย่างไร ฟังดูเป็นหลักวิทยาศาสตร์
ดีมาก ในความรู้สึกเรา นั่นก็คือ องค์ที่บรรลุไม่นานแล้วดับขันธุ์เลย ท่านเหล่านั้น อัฐิจะเป็นพระธาตุช้า ส่วนท่านที่บรรลุ
แล้วเป็นเวลานาน ก่อนจะดับธาตุขันธุ์ จะเป็นพระธาตุเร็ว สาเหตุนั้น ง่ายมาก นั่นก็คือ จิตที่บริสุทธิ์แล้ว เวลาท่านเข้าฌาณ
สมาบัติ จิตจะทำหน้าที่ฟอกธาตุขันธุ์ให้บริสุทธิ์สะอาดยิ่ง ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลา เราฟังแล้วเข้าใจทัีนที เพราะ
มัน makes sense มาก ไม่ต้องอะไรเลย แค่คนธรรมดา จากที่ไม่มีศีลเลย ไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ๗ วัน
เรายังสามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของความผ่องใสและขาวนวลบนใบหน้าได้ด้วยตาเปล่าเลย นั่นแค่อานุภาพของศีล
ล้วน ๆ ด้วยซ้ำ แล้วจะไปสงสัยอะไรกับระดับพระอรหันต์ ที่ท่านบริสุทธิ์หมดทั้งศีล สมาธิ และปัญญา

2. พระพุทธพจน์ที่หลวงตายกมา ที่ใจความคร่าว ๆ มีว่า "โลกกำลังร้อนเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ ท่านทั้งหลายยังจะมามัว
หัวเราะอะไรกันอยู่เล่า ยังไม่คิดหาที่พึ่งกันอีกหรือ" จริง ๆ แล้ว ท่านคงสอนเรื่องความไม่ประมาทนั่นเอง ซึ่งคำสอนนี้
ฟังกี่ที ๆ ก็ทันสมัยอยู่เสมอ เป็นพระพุทธพจน์ที่มีความลึกซึ้งมาก หลวงตายกบาลีมาแสดงก่อน แล้วจึงแปล เราเห็นจะต้องไปค้นหน่อยแล้ว
ถ้ามีเวลา ว่าต้นฉบับมีว่าอย่างไรบ้าง เพราะรู้สึกชอบใจมาก เผื่อได้ใช้ในวิทยานิพนธ์ ซึ่งพักหลักนี้หัวแล่นดีมาก หลังจากดองมาหลายปี ตอนนี้บังคับตัวเองให้อัีพเดททุกวันที่ Final Cut - - ตัด "ใจ"

วันนี้ได้ถวายปัจจัยหลวงตา และมีคนเอาซีดีธรรมะมาให้ตั้งสองม้วน และได้ไปต่อแถวรับบริจาคหนังสือธรรมะของหลวงตาด้วย ดีจัง
ไว้จะเอาไปแจกคนอื่นต่อไป

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

Thursday, April 12, 2007

Einstein Discovered, Lord Buddha Saw



From this page at Naiin Online Bookstore's. Must buy next time I go to Nai-in.


ชื่อ : ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น สำนักพิมพ์ : อมรินทร์ โดย : สม สุจีรา;ประเภท : ศาสนา ราคา : 175 บาท ลดพิเศษ 10% ราคาพิเศษ : 157.50 บาท ISBN : 9789749985854 ปก : ปกอ่อน จำนวนหน้า : 199 หน้า ขนาด : 210 x 145 x 12 mm น้ำหนัก : 280 กรัม สถานะสินค้า : ติดต่อเจ้าหน้าที่

คำแนะนำหนังสือ : เชื่อว่า หลายท่านเมื่อได้เห็นชื่อหนังสือเล่มนี้ คงจะสงสัยว่า ไอน์สไตน์พบอะไรหรือ แล้วพระพุทธเจ้าเห็นอะไร ทำไมจึงนำมาจับคู่กันได้สิ่งที่ไอน์สไตน์พบคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ และความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านอื่นๆ อีกมากมาย ความรู้เหล่านี้ถือว่าเป็นคุณูปการต่อชีวิตในสังคมยุคใหม่ สิ่งของ เครื่องใช้ อุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่น DVD เตาไมโครเวฟ แสงเลเซอร์ จอภาพโทรทัศน์ เครื่องถ่ายเอกสาร โทรศัพท์มือถือ และอื่นๆ อีกมาก ก็ล้วนแต่พัฒนามาจากพื้นฐานความรู้ที่ไอน์สไตน์ค้นพบทั้งสิ้น

ไอน์สไตน์นั้น นับว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกให้เป็นบุคคลแห่งศตวรรษที่ 21 ความรู้และทฤษฎีที่เขาค้นพบนั้นลึกลับ ซับซ้อน ช่วงแรกมีคนไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง นานหลายปีจึงมีคนเริ่มเห็นด้วย และนำไปสู่วิทยาการพลิกโลกสำหรับพระพุทธเจ้า สิ่งที่ทรงเห็น แตกต่างจากการพบของไอน์สไตน์ เพราะพระองค์ทรงเห็นด้วยพระสัพพัญญุตญาณ นั่นคือ ทรงเห็นสัจธรรม เห็นสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงแล้วนำมาเผยแพร่ถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้เห็นเหมือนๆ กับพระองค์เราคงเคยได้ยินคำว่า “มอง...แต่ไม่เห็น” “ฟัง...แต่ไม่ได้ยิน”

คำว่าพบและเห็นในที่นี้ก็เช่นเดียวกัน ไอน์สไตน์ได้พบบางส่วนที่นำไปสู่การรู้แจ้ง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถข้ามพ้นไปถึงการเห็นเหมือนที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบและเห็นได้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์นำไปสู่ผลทั้งด้านดี เช่น เทคโนโลยีต่างๆ ที่พัฒนาไปมากในยุคปัจจุบัน และด้านร้าย เช่น ระเบิดปรมาณู ซึ่งทำให้มีคนตายร่วมสองแสนคนในพริบตาเดียว ระเบิดนี้พัฒนามาจากทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์นั่นเองหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้หยิบยกเอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ มาเชื่อมโยงและสอดรับกับความรู้ทางพุทธศาสนา และสามารถนำมาพิสูจน์ความจริงที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้เมื่อ 2,500 ปีมาแล้วได้ว่า ถูกต้องและเป็นไปได้จริงๆ

หลายท่านอาจเคยสงสัยว่า โลกและจักรวาลนี้มีมาได้อย่างไร นอกจากจักรวาลนี้แล้วมีจักรวาลอื่นอีกหรือไม่ทำไมอายุขัยของมนุษย์ 100 ปี กลับเป็นเวลาเพียงชั่วครู่เดียวในสรวงสวรรค์ทำไมสุนัขมีอายุขัย 15 ปี แต่ยุงกลับมีอายุแค่ 7 วันเพราะเหตุใดพระองคุลิมาลจึงวิ่งตามพระพุทธเจ้าไม่ทันทั้งที่พระองค์ก็ทรงดำเนินไปตามปกติคำตอบรอท่านอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้วความจริงนั้นพระพุทธเจ้าเห็นก่อน แล้วไอน์สไตน์เพิ่งมาค้นพบความรู้นี้หลังพระพุทธเจ้าถึงสองพันปี

แต่เหตุที่หนังสือเล่มนี้เรียงชื่อเป็น “ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น” ก็เพราะต้องการให้ตรงกับการดำเนินเรื่องของหนังสือที่หยิบยกความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ขึ้นมากล่าวก่อน แล้วจึงเชื่อมโยงไปสู่ความรู้หรือความจริงทางพุทธศาสนาในภายหลัง

แม้ว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จะช่วยให้เรามีความเป็นอยู่สะดวกสบายขึ้น แต่ก็เป็นความสุขภายนอก ต่างจากความรู้ทางพุทธศาสนาที่จะช่วยชำระใจภายในของเราให้สะอาดพระพุทธเจ้าคือนักวิทยาศาสตร์ทางใจที่จะช่วยให้เราไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป
-----------------------------------------------------------------------
It's got great reviews, too! From comments at Naiin web site
-----------------------------------------------------------------------

ขอยกคำนิยม จาก ดร. สนอง วรอุไร มาให้อ่านค่ะ (จากในเล่ม) ก่อนที่จะจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มข้าพเจ้าได้มีโอกาสอ่านเรื่อง “ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น” เขียนโดย ทันตแพทย์ สม สุจีรา จึงได้รู้ว่า ในท่ามกลางสังคมแห่งความหลง ที่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องชี้นำทางให้กับชีวิต ได้มีต้นไม้ใหญ่ทางปัญญา ปรากฏขึ้นอีกหนึ่งต้นกำลังทอแสงแห่งการรู้แจ้ง ทันตแพทย์สม เปรียบได้กับต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ทันตแพทย์สม พยายามที่จะบอกกับนักวิทยาศาสตร์ว่า ความรู้ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กำลังมุ่งมั่นแสวงหากันอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยความเหนื่อยอ่อนและเมื่อยล้านั้น ยิ่งนำพาชีวิตของมนุษย์ในสังคมโลกหลงทางเข้าสู่ป่าลึกแห่งความรู้ไม่จริง (อวิชชา) ทำไมไม่หยุดพักชั่วขณะ รินน้ำชาเก่าที่ค้างถ้วยทิ้ง แล้วลองจิบน้ำอมฤตถ้วยใหม่ ที่กัลยาณมิตร สม สุจีรา รินเติมให้ น้ำทิพย์นั้นอาจทำให้ตาแจ้งพบกับความสว่างเข้าถึงเส้นทางใหม่ นำพาชีวิตออกจากป่าหลง สู่ความสุขที่แท้จริงของชีวิต เฉกเช่นข้าพเจ้า ได้พบ ได้เห็น ได้เป็น ได้มี ได้สัมผัสมาก่อนแล้ว สนอง วรอุไร ๑ ก.พ. ๒๕๕๐

Wednesday, April 11, 2007

General Update & Inquiry


General Update & Inquiry to Advisors



1. Current Activities

1.1 Japanese Class

Goal:

    1. To be able to research primary source for dissertation.
    2. To enhance experience in practicing Japanese martial arts. Present sensei and students are all Japanese.
    3. To prepare for Annual Japanese Proficiency Language Exam in December. (Now Level 3, going for Level 2).
    4. To enrich overall communication & learning experience with Japanese people in Thailand via different platform, i.e. on-going dialogue on cultural & social issues, etc. Long-term plan includes holding meditation course for Japanese residents in Thailand.
    5. To prepare for future research trips to Japan, if required.

Classes Presently Taken: (All Classes are at Thai-Japan Technology Promotion Association, Sukhumvit 29)

Tuesday, Thursday: Annual Japanese Proficiency Exam Prep Class, Level 2.

Wednesday: Business Japanese

Sunday: Intermediate Japanese M5 (On-going Comprehensive Curriculum)


1.2 Samurai Sword Class

Goal:

    1. To practice zen meditation with samurai sword.
    2. To understand the principles behind the practice in order to incorporate in dissertation.
    3. (For Sports Chanbara Class), to put samurai sword practice into real fighting situation to learn about mind-body relation in such situation and the development of Mushin (No-Mind) state.
    4. To learn about oneself and to develop one's characteristics at the pace and method deemed fit by Sensei.
    5. To observe Sensei's leadership and teaching style, in order to incorpirate in dissertation.

Classes Presently Taken: (Classes are now by appointment only, taken at either Supalai Fitness Center or Nai Lert Park Hotel)

Thursday: Sports Chanbara

Saturaday: Sports Chanbara, Samurai Martial Arts

Sunday: Samurai Martial Arts


1.3 On-Going Activities with Mahidol University's Center for Contemplative and Transformative Education Studies

Goal:

    1. To exchange views and update latest learning on contemplative and transformative education for use in dissertation.
    2. To volunteer own skills for the Center's social activities.
    3. To explore opportunity for future affiliation.

Latest Activities:

  • Attending the Center's monthly "Jittapanya Sewana Suksa," a lecture-cum-discusssion among people working on body-mind development.

  • Attending the Center's "Authentic Leadership"'s 3-day training in Cha-Am, Petchburi, March 25-28. Goal of meeting: how to incorporate contemplative and transformative education into university system and subsequently the whole Thai society.

  • Now volunteering to teach course in "Meditation Retreat" when the Center starts to accept students for its Master's Degree Program next academic year (2551).


1.4 Reading List Update

Already ordered the following books from Amazon and now waiting for delivery.

1.4.1 Ritzer, George. Contemporary Sociogolical Theory and its Classical Roots: The Basics

1.4.2 Transformational and Charismatic Leadership (Monographs in Leadership and Management)

Items not yet shipped:
Delivery estimate: May 1, 2007 - May 12, 2007

    • 1 of: Transformational and Charismatic Leadership (Monographs in Leadership and Management)
Transformational and Charismatic Leadership (Monographs in Leadership and Management)
Transformational and Charismatic Leadership (Monographs in Leadership and Management) (Hardcover)
by Bruce J Avolio (Editor), Francis Yammarino (Editor)
Key Phrases: social dramatization, socialized leaders, hierarchic motivation, New York, Leadership Quarterly, Journal of Personality (more...)
(2 customer reviews)



1.4.3 Leadership (Paperback)
by James MacGregor Burns (Author)

(7 customer reviews)

Delivery estimate: April 30, 2007 - May 9, 2007

1.4.4 Transformational Leadership (Paperback)
by Bernard M. Bass (Author), Ronald E. Riggio (Author)

Delivery estimate: June 28, 2007 - July 10, 2007

Transformational Leadership


1.5 Book Project

Description:


Biography of two ancestors (Great-Grandfather and Great, Great-Grandfather) that

went to Japan 104 years ago as Thai Ambassador and first Thai student respectively,

the latter went on to be the first Thai cadet in Japan's Imperial Army College and

subsequently prestigious Imperial War College.


Current Status: Data compilation almost complete. Also started writing.

Goal:


To publish within this year (2007) to commemorate 120th anniversary of diplomatic

relationship between Thailand and Japan.


2. Logistics Inquiry


2.1 In the requirement for first proposal submission, the part of Methodology is not required.

However, researcher has already got scholarship to collect some preliminary data in Japan

(Martial Arts Practice, plus local, national and world championship tournaments in addition

to Desk Research in university.)



2.2 Question:


2.2.1 Can that preliminary findings from Japan be incorporate into the first proposal?


2.2.2 If so, how best to treat that kind of data? As part of literature review or methodology?



3. Dissertation Content



Concern: Too many factors?




Current Main Factors:
In What Social Context
To What Social Group
Bushido Literature Tokugawa Japan
Tokugawa Samurai
Koryu Budo (Traditional Martial Arts Practice)

Mindfulness

Transformational Leadership Development








How about:


1. Find the relationship between Mindfulness and Transformational Leadership Development
(Using the concept of Mindfulness in Buddhism and Transformational Leadership Theory
to develop tools to measure such relationship.)


2. Find the relationship between Mindfulness and Bushido during Tokugawa period
(by content analysis in the period's Bushido literature)

3. Find the relationship between Mindfulness in Koryu Budo (by observant participation)



If it can be proved that:


1. "Mindfulness" is an important factor that contributes positively to Transformational Leadership Development,


and,


2. That same "Mindfulness" exists abundantly in the "Bushido" way of living and Budo practice,



then, it may be possible to say that Bushido and Budo contribute positively to Transformational Leadership Development.



Update:
3.1 Introduction Chapter = As attached.

3.2 Literature Review = To be updated bi-monthly (or visit http://nash-final.blogspot.com for daily update.)

3.3 Targeted Time Frame for Proposal Defense = August 2007





Tuesday, March 13, 2007

A Sad Good Bye to an Online Friend

An unsuspected encounter of this photo online on Saturday night was like having a bolt of lightning struck on my head.

One of my beloved online friend is dead.

And this is her last photo.

If I did not have the sense of clicking on that link,
I would not have my last chance to say good bye.

Sigh... Life is so short and time is flying.

Like Lord Buddha said,
whereever there is love, there is suffering.

Suffering of the imminent, unavoidable loss of loved ones.

Most of the time, it is unexpected.

Needless to say, it is often heart-wrenching.

I mean, I hardly know this cat. I only knew her online,
via the owner's web album.

But I, like the hundreds of the followers,
grew to love all his cats.

Junku is a great photographer. I love the way he can convey his love of life through the eyes of his cats. I mean, the expression I always saw on his cats' face is really precious. Looking at them, I have learned many things. Mostly about love and care being given and received with gratefulness.

This last photo of Hime-Chan is a testimony in itself of what I just said. It is a final, honorable, grateful good bye that Junku gave to hear with all his heart. It is very touching. Not only me, people from all over the world also said that on his photo page.

That is the reason I blog this photo. Not only as a tribute to the life of Hime Chan and to thank Junku for sharing their experience together with me and the rest of the world, but also as a reminder to myself as to how vulnerable our own life can be to all kind of sufferings, including death itself.

For I don't know when it would be my own photo on someone's web site with that final farewell message, talking about how I suddenly departed. For good.

Thank you Hime Chan. And, like Junku said. Good night.

Sunday, November 20, 2005

Dhamma Suksa Tho Exam


kratootham tho
Originally uploaded by nashara.
I hope the entry from Flickr would come with the picture so i won't have to write again. :)

Saturday, August 06, 2005

Bangkok Post Sunday 31 July 2005 - Taking it to the streets



Story by ATIYA ACHAKULWISUT Photo by SMITH SUTIBUT


Popular writer and monk Phra Maha Wudhijaya Vajiramedhi believes that the Sangha must employ modern means to promote dharma to reach members of the new generation.

Best-selling monk Phra Maha Wudhijaya Vajiramedhi is using modern means to promote and popularise the age-old teachings of the Lord Buddha

He considers himself the Boyd Kosiyapong of the clerical community. As a songwriter and musician, Boyd produces popular tunes with such wide ranging appeal that they please both grandmothers and grandsons. It is in that particular respect that best-selling monk Phra Maha Wudhijaya Vajiramedhi, who writes under the pen name W. Vajiramedhi, warrants comparison. His work, which appears in the form of books, magazine articles, TV dramas and dharma songs, is read, listened to or viewed by people from five to 90 years old, from members of non-governmental organisations to the prime minister.

"I write 10 columns for magazines and newspapers at present," noted Phra Maha Wudhijaya, 32, as he sat down behind a low table in the upstairs reception area of his kuti at Wat Benchamabopitr. On it sat a large and thick appointment book.

"I have started to accept invitations for lecture and dharma talks for a couple of years," the monk said. He shook a glass full of uniformly brown-coloured, sharpened pencils. "Someone gave them to me," he indicated. "I actually write with a computer notebook."

One of the most prolific monks around, Phra Maha Wudhijaya has written more than 20 books. One of them, Dharma Tid Peek (Words of Wisdom), was made into a TV programme for children. It was so popular that a second season is being made. The series also won the Golden TV award as an outstanding drama for social development.

The range of publications that the monk contributes to is indicative of his breadth and popularity. It includes almost anything from hard-news newspapers like Matichon to cooking magazine Health & Cuisine, relationship titles such as Love and Share, strictly dharma and amulet publications like Thong Dharma (Flag of Dharma) and Saksith (Sacred), as well as the practical guide Kae Jon (Stopping Poverty).

A studious monk who reads three newspapers a day and has more than 5,000 books in his possession, Phra Maha Wudhijaya started writing because he wanted to popularise Buddhist teachings as a practical tool to solve problems in everyday life.

"In terms of canon, we have some of the best written by the likes of P.A. Payutto or the late Buddhadasa. It is applied dharma for a majority of people _ members of the middle class or the young generations _ that we still lack," he said.




One of his books, Tai Laew Kerd Mai Tam Nai Buddhasasana (Rebirth in the Buddhist Context), caught the eyes of Amarin Publishing's top executive Metta Utakapan. She invited him to write for the company's magazines and later published a series of dharma-made-easy books including Dharma Lab Sabai (now available in English under the title of Anger Management), Dharma Dub Ron (The Recipes for Success) and Dharma Bandan (The Inspiration) among others.

Phra Maha Wudhijaya cites his love of reading and learning _ not only of religious matters but of social and current affairs _ as the resources for his work. "I don't shut myself in the temple. I try to expose myself to society and to things that are happening in people's lives. I travel," the monk said, adding that he started reading the Tripitaka and encyclopaedia when he was 15.

"I love learning, so much it sometimes becomes a bit of a problem. I have two secular degrees now but every time I see some new courses opening, I still feel like taking them. I have to tell myself that I must know what is enough, that it is better to know my handful of leaves well than to seek every leaf in the forest," said the monk, who holds a bachelor's degree in education from Sukhothai Thammathirat Open University, and a master's of Buddhist studies from Mahachulalongkorn.

This love of reading can be traced back to his childhood. A native of Ban Krueng Tai, Chiang Rai, Phra Maha Wudhijaya described himself as the family's bookish, compliant youngest son. He was always with his mother when she went to make merit at a local temple.

"I've liked the idea of being a monk since I was a child. It could be said it was love at first sight," he said, adding that his primary school shared the same wall with the temple and the sight of saffron robes was uplifting to him. When he finished primary school at age 14, he received ordination as a novice and continued his religious and secular studies concurrently.

"I did not feel deprived that I could not run around dancing and having fun like my friends or people of the same age. I entered the religious life because of faith, not necessity," he said. "My family is happy with it. I was by nature a studious child and I became even more learned as a novice. I memorised all the sermons. I read all the books there were at the temple's library."

At 21, he was ordained as a monk. Later, he took residence at Wat Benchamabopitr to continue his Pali studies.

"As a novice, I studied to enrich myself," he recalled. "As a monk, the aim of my study was to teach others. Also, I started to practise meditation. And I realised that the practice was indeed the core of monkhood."

He added that meditation makes him realise that there is a certain kind of joy beyond senses, a fine sense of happiness which not many people know exists.

"As a novice, I was not that different from lay teenagers. I sometimes listened to music and songs from a small radio that I had. Once I learned meditation and had a chance to stay alone and practise in the forest, I stopped enjoying it. I gave the radio away and I have practised meditation ever since," the monk said.

With demands from the outside increasing, both for his writing and his lectures, how does he juggle between the needs to promote dharma and to continue his own education?

"Meditation is not just about sitting still with your eyes closed," the monk remarked. "You can do it while going about your everyday life, doing chores. I train myself to concentrate when I write my columns _ I only write one draft. I practise self-awareness when I take a bath, do cleaning or walk along the road to receive alms in the morning."

Phra Maha Wudhijaya emphasised that while he certainly sets aside time to do "proper" sitting-down-with-closed-eyes meditation, many times work and life could be blended into a whole act of cultivating mindfulness and wisdom.

With news about the misdeeds of monks and conflicts in the clergy's hierarchical administration hitting the headlines frequently, Phra Maha Wudhijaya believes that the Sangha has no choice but to strengthen its knowledge of the Buddha's dharma and to engage more with society.

"The Sangha can no longer wait for people to come to the wat. We have to reach out and use all modern means and media to get dharma to the people. If the Sangha fails to do that, it will eventually lose its role in contemporary society. It would become like one of those decaying old chedis in Ayutthaya _ once very sacred and important but now just a mark on the road for people to make a U-turn," he said.

As a monk, Phra Maha Wudhijaya views financial interests, fame and sexual desires as the three top challenges that each must face. He is well aware that one of them _ popularity _ has been knocking on his kuti door.

"Fame is like the wind. It can make us feel fresh but we can't really hold onto it. What I can do is to divert the popularity to benefit other useful causes," he said.

On financial interest, the monk said that he used all the royalties he received from his books and columns to build a library at his hometown wat.

He acknowledged that among the three defilements, desire is perhaps the most formidable.

"There were 40 monks who were ordained at the same time with me. They have long quit the monkhood and have family. I'm the only one from the batch that remains."

The young monk said that in his case it was helpful that he'd had a chance to gradually study and train himself all along from being a novice to a monk.

"I have had some sort of immunity from the training. The rest is about common sense and ethics. If we know who we are and what status we are in, we'll behave accordingly and then we'll be safe," said Phra Maha Wudhijaya, who has been in the monkhood for 19 years.

The monk's next project is to produce books about Buddhism for children.

"I would like to write a book like The Little Prince but with Buddhist concepts. Perhaps The Little Buddha," he said.

"Children are seedlings for the future. We have to give them good fertiliser."

ว.วชิรเมธี Scholar Monk

I went to see him yesterday. For more details, go read the description of this picture by clicking on the link below it. :)

Saturday, July 02, 2005

A Rock, Yet Not Just A Rock


Coarse Rock
Originally uploaded by mandolux.
What can you learn from this placement of rock on such sands?

Could you see the careful raking of sand to resemble the stream around the rock?

Ah...to imagine to message the creator is trying to convey....

Even though I may not guess it correctly, but the actual act of contemplating upon it already brought many fond recall of Buddhist philosophy.

Nothingness. Impermanence. Non-attachment.

This rock on sand
is life
without life itself....

Tuesday, June 28, 2005

summer garden


summer garden
Originally uploaded by pam from tokyo.
I wish that one day I'll win a scholarship or get a grant to do research on Zen in Japan. My dream is to spend at least 3 months in a Zen temple located among nature like this one.

Oh, how I wish my dream would come true soon...

Saturday, May 14, 2005

Tokugawa Bushido & How it Became National Ethics

What is Bushido?: "The final rationalization of Bushido thought occured during the Tokugawa period (17th century ff.), when Yamaga Soko (1622-85) equated the samurai with the Confucian 'superior man' and taught that his essential function was to exemplify virtue to the lower classes. Without disregarding the basic Confucian virtue, benevolence, Soko enphasized the second virtue, righteousness, which he interpreted as 'obligation' or 'duty'. This strict code of honour, affecting matters of life and death, demanded conscious choice and so fostered individual initiative while yet reasserting the obligations of loyalty and filial piety. Obedience to authority was stressed, but duty came first even if it entailed violation of statue law. In such an instance, the true samurai would prove his sincerity and expiate his crime against the government by subsequently taking his own life.
By mid-19th century, Bushido standards had become the general ideal, and the legal abolition of the samurai class in 1871 made Bushido even more the property of the entire nation. In the public educational system, with the emperor replacing the feudal lord as the object of loyalty and sacrifice, Bushido became the foundation of ethical training. As such, it contributed both to the rise of Japanese nationalism and to the strengthening of wartime civilian morale up to 1945. "

Bushido--Meaning, Origin, Influence

http://mcel.pacificu.edu/as/students/bushido/bindex.html


INTRODUCTION


Bushido, literally translated "Way of the Warrior," developed in Japan between the Heian and Tokugawa Ages (9th-12th century). It was a code and way of life for Samurai, a class of warriors similar to the medieval knights of Europe. It was influenced by Zen and Confucianism, two different schools of thought of those periods. Bushido is not unlike the chivalry and codes of the European knights. "It puts emphasis on loyalty, self sacrifice, justice, sense of shame, refined manners, purity, modesty, frugality, martial spirit, honor and affection" (Nippon Steel Human Resources Development Co., Ltd. 329).

ORIGINS AND INFLUENCES


Bushido comes out of Buddhism, Zen, Confucianism, and Shintoism. The combination of these schools of thought and religions has formed the code of warrior values known as Bushido.


From Buddhism, Bushido gets its relationship to danger and death. The samurai do not fear death because they believe as Buddhism teaches, after death one will be reincarnated and may live another life here on earth. The samurai are warriors from the time they become samurai until their death; they have no fear of danger. Through Zen, a school of Buddhism one can reach the ultimate "Absolute." Zen meditation teaches one to focus and reach a level of thought words cannot describe. Zen teaches one to "know thyself" and do not to limit yourself. Samurai used this as a tool to drive out fear, unsteadiness and ultimately mistakes. These things could get him killed.


Shintoism, another Japanese doctrine, gives Bushido its loyalty and patriotism. Shintoism includes ancestor-worship which makes the Imperial family the fountain-head of the whole nation. It awards the emperor a god-like reverence. He is the embodiment of Heaven on earth. With such loyalty, the samurai pledge themselves to the emperor and their daimyo or feudal landlords, higher ranking samurai. Shintoism also provides the backbone for patriotism to their country, Japan. They believe the land is not merely there for their needs, "it is the sacred abode to the gods, the spirits of their forefathers . . ." (Nitobe, 14). The land is cared for, protected and nurtured through an intense patriotism.


Confucianism gives Bushido its beliefs in relationships with the human world, their environment and family. Confucianism's stress on the five moral relations between master and servant, father and son, husband and wife, older and younger brother, and friend and friend, are what the samurai follow. However, the samurai disagreed strongly with many of the writings of Confucius. They believed that man should not sit and read books all day, nor shall he write poems all day, for an intellectual specialist was considered to be a machine. Instead, Bushido believes man and the universe were made to be alike in both the spirit and ethics.


Along with these virtues, Bushido also holds justice, benevolence, love, sincerity, honesty, and self-control in utmost respect. Justice is one of the main factors in the code of the samurai. Crooked ways and unjust actions are thought to be lowly and inhumane. Love and benevolence were supreme virtues and princely acts. Samurai followed a specific etiquette in every day life as well as in war. Sincerity and honesty were as valued as their lives. Bushi no ichi-gon, or "the word of a samurai," transcends a pact of complete faithfulness and trust. With such pacts there was no need for a written pledge; it was thought beneath one's dignity. The samurai also needed self-control and stoicism to be fully honored. He showed no sign of pain or joy. He endured all within--no groans, no crying. He held a calmness of behavior and composure of the mind neither of which should be bothered by passion of any kind. He was a true and complete warrior.


These factors which make up Bushido were few and simple. Though simple, Bushido created a way of life that was to nourish a nation through its most troubling times, through civil wars, despair and uncertainty. "The wholesome unsophisticated nature of our warrior ancestors derived ample food for their spirit from a sheaf of commonplace and fragmentary teachings, gleaned as it were on the highways and byways of ancient thought, and, stimulated by the demands of the age formed from these gleanings a new and unique way of life" (Nitobe, 20).



--------------------------------------------------------------------------------

Samurai The Samurai Creed Bushido Today Works Cited Book Review Related Sites Assessment


Asian Studies Home Page

?@

--------------------------------------------------------------------------------

Page designed and created by: James Clark
Copyright ฉ 1996 James Clark / Pacific University
Last updated: May 2, 1996
clarkjk@pacificu.edu




Wednesday, April 20, 2005

I made it!

Finally, I got my Dhamma Suksa Tri Certificate! I'm gonna do Dhamma Suksa To this year. My heartfelt appreciation to all my teachers..

Wednesday, April 13, 2005


Class of April 2005. Chiangmai Vipassana Center. Posted by Hello

Group of tsunami victims from Phang Nga transiting at Bangkok's Don Muang Airport. Posted by Hello

Chiangmai Vipassana Center is refreshed with rain almost everyday during the course, considered a blessing in the hottest month of the year! Posted by Hello

Having dinner at Regina restaurant. Posted by Hello

Having cakes and ice cream after dinner! Posted by Hello

A smile of happiness from the southern kids and their remaining parent in Chiangmai. Posted by Hello

Chiangmai lady on the left taking care of Phang Nga visitors. What is the same is their Thai-Smile! Posted by Hello

"Pra Nai Baan" or the ceremony to ask for forgiveness from parents and pledging oneself to take good care of them. Posted by Hello

Children taking care of their parents after the ceremony. Posted by Hello

It's all smiles as the course is drawing to an end. Last night of the course in Chiangmai Vipassana Center. Posted by Hello

Kids who have lost a parent to the tsunami told the audience how much they learned from the course. Posted by Hello