ปัญหา: การที่พระพุทธองค์ตรัสถึงเรื่องธาตุ ๔ นั้น พระองค์ทรงเชื่อว่ามีธาตุ ๔ จริง ๆ หรือเพราะทรงเรียกตามโวหารโลกที่คนเข้าใจกันอยู่ในสมัยนั้น ? มีพระพุทธพจน์ตอนไหนบ้างที่แสดง ธาตุ ๔ เป็นแต่สิ่งสมมติ ?
พุทธดำรัสตอบ:
“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนในโลกนี้ ไม่ได้สดับ ไม่ได้พบพระอริยะ
ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมรู้ธาตุดิน .... ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ย่อมรู้ธาตุไฟ ...
ย่อมรู้ธาตุลม...โดยความเป็นธาตุลม
ครั้นรู้ธาตุลมโดยความเป็นธาตุลมแล้ว
ย่อมสำคัญหมายธาตุลม
ย่อมสำคัญหมายโดยความเป็นธาตุลม
ย่อมสำคัญหมายธาตุลมว่าเป็นของเรา
ย่อมยินดีธาตุลม
ข้อนั้นเพราะอะไร
เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู
้
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ...
ภิกษุใดเป็นอรหันต์ขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์เสร็จกิจแล้ว
ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว
สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว
หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว
แม้ภิกษุนั้นย่อมรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน....
ย่อมรู้ธาตุน้ำโดยความเป็นธาตุน้ำ ...
ย่อมรู้ธาตุไฟโดยความเป็นธาตุไฟ...
ย่อมรู้ธาตุลมโดยความเป็นธาตุลม....
ครั้นรู้ธาตุลมโดยความเป็นธาตุลมแล้ว
ย่อมสำคัญหมายธาตุลม
ย่อมไม่สำคัญหมายโดยความเป็นธาตุลม
ย่อมไม่สำคัญหมายธาตุลมว่าเป็นของเรา
ย่อมไม่ยินดีในธาตุลม
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะเธอกำหนดรู้แล้วฯ”
มูลปริยายสูตร มู. ม. (๒)
ตบ. ๑๒ : ๑-๒ ตท. ๑๒ : ๑-๒
ตอ. MLS. I : ๓-๔
---------------------
ในส่วนนี้ ในฐานะคนที่พอจะปฏิบัติธรรมมาบ้าง คิดว่าพอจะเข้าใจนิดหน่อย ถึงแม้จะเป็นแค่ในขั้นกึ่งคิด กึ่งนึก แต่ก็พอนึกแล้ว ก็ให้อัศจรรย์ใจในคำตอบของพระพุทธเจ้ามาก เพราะการที่จะเข้าไป "กำหนดรู้" ได้นั้นไม่ง่ายเลย แต่ถ้าพอทำได้บ้างแล้วนั้น ก็จะเป็นประมาณอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ อย่างน้อยก็สองข้อหลัง คือ ย่อมไม่สำคัญหมายธาตุลมว่าเป็นของเรา และ ย่อมไม่ยินดีในธาตุลม นั้น การเจริญสติวิปัสสนาในคอร์ส ๗ วันนั้น ทำให้เข้าใจตรงนั้ชัดมาก
อนึ่ง ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้น รวมเรียกว่า มหาภูติรูป ถ้าจะฝึกวิปัสสนา จะเห็นชัดอยู่ในฐานธรรมานุปัสสนา แต่เวลาทำจริง ๆ นั้นไม่จำเป็นต้องไปต้องว่าตอนนี้กำหนด "ฐานไหน" เพียงแต่ให้รู้ว่าตอนนี้มีอะไรมากระทบกายและใจ อย่างไร ให้เท่าทันปัจจุบัน และไม่ต้่องมีอะไรมาปรุงแต่ง และกำหนดแล้วก็ปล่อยทิ้ง ไม่หน่วงเหนี่ยวเคล้ัาคลึงอารมณ์ให้มันหลุดปัจจุบันก็พอแล้ว
ในส่วนนี้ ในฐานะคนที่พอจะปฏิบัติธรรมมาบ้าง คิดว่าพอจะเข้าใจนิดหน่อย ถึงแม้จะเป็นแค่ในขั้นกึ่งคิด กึ่งนึก แต่ก็พอนึกแล้ว ก็ให้อัศจรรย์ใจในคำตอบของพระพุทธเจ้ามาก เพราะการที่จะเข้าไป "กำหนดรู้" ได้นั้นไม่ง่ายเลย แต่ถ้าพอทำได้บ้างแล้วนั้น ก็จะเป็นประมาณอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ อย่างน้อยก็สองข้อหลัง คือ ย่อมไม่สำคัญหมายธาตุลมว่าเป็นของเรา และ ย่อมไม่ยินดีในธาตุลม นั้น การเจริญสติวิปัสสนาในคอร์ส ๗ วันนั้น ทำให้เข้าใจตรงนั้ชัดมาก
อนึ่ง ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้น รวมเรียกว่า มหาภูติรูป ถ้าจะฝึกวิปัสสนา จะเห็นชัดอยู่ในฐานธรรมานุปัสสนา แต่เวลาทำจริง ๆ นั้นไม่จำเป็นต้องไปต้องว่าตอนนี้กำหนด "ฐานไหน" เพียงแต่ให้รู้ว่าตอนนี้มีอะไรมากระทบกายและใจ อย่างไร ให้เท่าทันปัจจุบัน และไม่ต้่องมีอะไรมาปรุงแต่ง และกำหนดแล้วก็ปล่อยทิ้ง ไม่หน่วงเหนี่ยวเคล้ัาคลึงอารมณ์ให้มันหลุดปัจจุบันก็พอแล้ว
No comments:
Post a Comment